การโพสสื่อออนไลน์เป็นสิทธิของเราก็จริง แต่การใช้สิทธิของเราจะต้องไม่กระทบกระเทือนต่อคนอื่นๆ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำผิดกฏหมาย
1.การไปด่าผู้อื่น เพราะการไปด่าผู้อื่นเปรียบเสมือนว่าไปใส่ความคนคนนั้น เอาเรื่องผู้คนอื่นไปพูดให้บุคคลที่ 3 ฟัง ซึ่งมีความผิด
2.การไปด่าผู้อื่นซึ่งทำให้คนนั้นเสียหาย เช่น เมียน้อย
3.การโพสเฟสบุ๊ค เจาะจงบุคคลนั้น ว่า เป็นผู้เสียหายก็มีความผิดเช่นกัน
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563
การหมิ่นประมาท
หมิ่นประมาท เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ถูกหยิบขึ้นมาใช้กันบ่อยครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีความขัดแย้ง และมีคนแสดงความคิดเห็นแตกต่างกัน หรือมีการ "ด่ากัน" โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนมีพื้นที่แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ของตัวเอง การระบายความรู้สึกด้านลบ การใช้เหตุผลวิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นแตกต่างกันในประเด็นต่างๆ สามารถทำได้ง่ายตลอดเวลา และเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คดีความฐานหมิ่นประมาทเกิดขึ้นได้ง่าย และมีปริมาณมากขึ้นด้วย
เมื่อคนรับรู้ว่า ตัวเองถูกโจมตีด้วยข้อความต่างๆ และอยากใช้กฎหมายตอบโต้ ความผิดฐานหมิ่นประมาทจะถูกมองเห็นก่อนในฐานะเครื่องมือที่พื้นฐานที่สุด และสามารถหยิบใช้ได้กับแทบทุกกรณี ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามกฎหมายไทยมีทั้งโทษทางอาญาซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา และมีทั้งการหมิ่นประมาททางแพ่งซึ่งอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิย์ การหมิ่นประมาททั้งสองประเภทมีองค์ประกอบแตกต่างกันและมีวิธีการดำเนินคดีเพื่อเอาผิดที่แตกต่างกัน ที่ผ่านมามีตัวอย่างให้เห็นหลายกรณีที่มีผู้หยิบเอาข้อหา "หมิ่นประมาททางอาญา" มาใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายตอบโต้กับการแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากได้ยิน แม้ข้อหานี้จะมีระวางโทษไม่สูงมาก และมีบทยกเว้นความรับผิดค่อนข้างกว้าง แต่ในการเอาตัวผู้ที่แสดงความคิดเห็นเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีก็มีต้นทุนสูง ส่งผลให้ผู้ที่เคลื่อนไหวในประเด็นสาธารณะต้องมีต้นทุนติดตัวสูง เป็นการสร้างภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การต่อสู้คดี และสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ต้องการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นสาธารณะ อย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร
การรู้เ่ท่าทันสื่อ
การรู้เท่าทันสื่อที่เราต้องใช้ในชีวิตประจำวันในสังคมที่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบสินค้า ผลิตภัณฑ์ บริการต่าง ๆ ตลอดจนความเชื่อค่านิยม ออกทั้งการบ้านการเมือง โดยเฉพาะความแตกแยก ขัดแย้งไหลเข้ามาใส่เราจนตั้งตัวไม่ได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมีสติและปัญญาในการเลือกรับข่าวสาร ไตร่ตรอง และใช้ข้อมูลเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ คนที่รู้เท่าทันสื่อก็จะมีทางเลือกมากขึ้นในการบริโภคและการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะรู่ว่าจะจัดการกับสื่อและสารต่าง ๆ ที่เข้ามาหาเราด้วยมุมมองแบบไหน ยิ่งกว่านั้น การรู้เท่าทันสื่อยังเป็นการเพิ่มพลังและอำนาจให้แก่ตัวเอง ในการควบคุมความเชื่อและพฤติการณ์ส่วนตัวของเราได้ เช่น ไม่เชื่อตามโฆษณา ว่าคุณค่าหรือความงามอยู่ที่ผิวขาวหรือผมสวย จึงไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้าด้วยเหตุผลนั้น แต่ดูคุณภาพและประโยชน์จริง ๆ ของสินค้า เป็นต้น
พฤติกรรมเสี่ยง พรบ.คอมฯ
พฤติกรรมเสี่ยง พรบ.คอมฯ
1.การโพสข้อความหมิ่นเบื้องสูง หรือ การเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิย 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และตามกฎหมายอาญามีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี
2.การปล่อยข่าวลือ ข่าวเท็จที่ไม่เป็นจริงต่างๆ ซึ่งทำให้บ้านเมืองเกิดความชุลมุนวุ่นวาย
3.การนำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงของผู้อื่นมาโพส
4.การตัดต่อภาพผู้อื่น จนทำให้ผู้อื่นเสียหาย มีสิทธิได้รับโทษทั้งจำทั้งปรับ
5.แอบนำข้อมูลของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาติ เช่น facebook,line มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท
**ทั้งนี้ก่อนจะแชร์ข้อมูลอะไรต้องตรวจสอบให้ดีก่อนหากแชร์ข้อมูลใดๆที่เป็นเท็จ เราอาจจะต้องรับโทษเท่ากับผู้ที่ทำข้อมูลนั้นขึ้น
1.การโพสข้อความหมิ่นเบื้องสูง หรือ การเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูง มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิย 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และตามกฎหมายอาญามีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี
2.การปล่อยข่าวลือ ข่าวเท็จที่ไม่เป็นจริงต่างๆ ซึ่งทำให้บ้านเมืองเกิดความชุลมุนวุ่นวาย
3.การนำเรื่องที่ไม่เป็นความจริงของผู้อื่นมาโพส
4.การตัดต่อภาพผู้อื่น จนทำให้ผู้อื่นเสียหาย มีสิทธิได้รับโทษทั้งจำทั้งปรับ
5.แอบนำข้อมูลของผู้อื่นมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาติ เช่น facebook,line มีโทษจำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท
**ทั้งนี้ก่อนจะแชร์ข้อมูลอะไรต้องตรวจสอบให้ดีก่อนหากแชร์ข้อมูลใดๆที่เป็นเท็จ เราอาจจะต้องรับโทษเท่ากับผู้ที่ทำข้อมูลนั้นขึ้น
การรู้เท่าทันลิขสิทธิ์
ความคิดสร้างสรรค์เป็นทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ
ลิขสิทธิ์ คือ สิทธิเพียงผู้เดียวในการกระทำใดๆ กับผลงานของตนที่สร้างสรรค์ขึ้นแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า ลิขสิทธิ์จะต้องจดทะเบียนกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นความคิดที่เข้าใจผิดลิขสิทธิ์ แบ่งออกเป็น 9 ประเภท คือ วรรณกรรม นาฏกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง แพร่ภาพแพร่เสียง วรรณคดี วิทยาศาสตร์และศิลปะ ของผู้สร้างสรรค์ไม่ว่าวิธีการใดหรือรูปแบบใดก็ตาม
ส่วนข่าวประจำวัน กฎหมาย ระเบียบข้อบังคับ ข้อพิพากษาหรือคำสั่งราชการ คำแปล/การรวบรวมของรัฐหรือท้องถิ่นจัดทำขึ้นไม่ถือเป็นงานลิขสิทธิ์ที่กฎหมายคุ้มครอง การละเมิดลิขสิทธิ์ คือการทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่งานต่อสาธารณชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ผู้ที่จะต้องรับโทษทางอาญาและจ่ายค่าเสียหายแก่เจ้าของงานแต่มีข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563
บทที่ 9 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับปรับปรุงแก้ไข พ.ศ.2560
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่ปรับปรุงแก้ไข พ.ศ.2560
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานต่าง ๆ ล้วนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ทั้งสิ้น จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับพ.ร.บ.ฉบับนี้ และเตรียมพร้อมรับมือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์และให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ในประเทสไทยของเราเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
1. การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นการแชท โพสต์หรือทำอะไรก็ตามที่ไม่รับอนุญาตจากเจ้าของจะมีความผิดตามมาตราที่ 5 จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. การนำข้อมูลข้อมูลรหัสผ่าน หรือ วิธีการเข้าสู่ระบบที่ป้องกันไว้ไปเปิดเผยจะมีความผิดตามมาตราที่ 6 จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3. ใครเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตามมาตราที่ 7 โทษ คือ จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. การดักรับไไฟล์ข้อมูลที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์นั้น มีความผิดตามมาตราที่ 8 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
5. การเปลี่ยนแปลงแก้ไขทำลาย ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษตามมาตราที่ 9 จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับ ไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
6. การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เช่น การปล่อยไวรัส จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 10
7. การส่งข้อมูลผ่านอีเมลทางแชท ที่ปกปิดปลอมแปลงที่มา ถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 11 ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
8. ผู้ใดกระทำความเสียหายแก่ระบบ ต้องจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท และถ้าหากความเสียหายนั้นส่งผลต่อสาธารณะ เศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ จำคุก 3 - 15 ปี และปรับ 60,000 – 300,000 บาท ตามมาตราที่ 12
9. จำหน่ายชุดหรือโปรแกรมขึ้นเพื่อนำไปใช้กระทำความผิดต้องได้รับโทษตามมาตรา 13 จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
10. นำข้อมูลที่ผิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เช่น ข้อมูลปลอม จะต้องจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตราที่ 14
11. หากผู้ใดให้ความร่วมมือ ยินยอม หรือ รู้เห็นเป็นใจให้มีการกระทำผิดตามมาตรา 15 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
12. การเผยแพร่ภาพตัดต่อ เติม ตัดแปลงภาพไม่ว่าด้วยววิธีใดก็ตาม มีความผิดตามมาตราที่ 16 ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2563
นวัตกรรมอัจฉริยะ "คอนแทคเลนส์ถ่ายภาพและวิดีโอได้"
ดูเหมือนว่าเทคโนโลยีไฮเทคที่เรามักจะเห็นในหนังสายลับต่างๆ จะไม่ได้มีให้เห็นแค่ในจออีกต่อไป แต่เรากำลังจะได้ใช้จริงแล้ว เพราะล่าสุดบริษัท SONY ได้พัฒนาคอนแทคเลนส์ให้เป็นสิ่งของที่มีนวัตกรรมอัจฉริยะมากขึ้น โดยทำให้สิ่งนี้สามารถถ่ายภาพนิ่งและบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้ด้วยการกะพริบตาเท่านั้น
โดยบริษัท SONY ได้นำเทคโนโลยี Nikola Tesla มาพัฒนากับตัวคอนแทคเลนส์อัจฉริยะนี้ ซึ่งในคอนแทคเลนส์จะประกอบไปด้วยการถ่ายภาพ ชุดคุมส่วนกลาง เสาอากาศ พื้นที่เก็บคลังข้อมูล และเซ็นเซอร์ ซึ่งมีการทดลองจนประสบความสำเร็จ และได้ทำการยื่นขอจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีนี้ขึ้น
ในส่วนของการทำงานของคอนแทคเลนส์อัจฉริยะนี้ จะทำการบันทึกภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวเวลาที่กะพริบตาเพื่อตั้งใจถ่ายภาพ โดยจะมีเซ็นเซอร์เพื่อแยกว่าตอนไหนคือการกะพริบตาปกติแบบไม่รู้ตัว และเวลาไหนคือการกะพริบตาเพื่อตั้งใจถ่ายภาพ โดยทาง SONY ได้อธิบายไว้ว่า ปกติแล้วคนเราจะกะพริบตา 0.2 - 0.4 วินาที ต่อครั้ง แต่หากเรากะพริบตาเกินกว่า 0.5 วินาที ต่อครั้ง ซึ่งถือว่าผิดปกติจากการกะพริบตาของมนุษย์ จะทำให้คอนแทคเลนส์ทำการบันทึกภาพและภาพเคลื่อนไหวในตอนนั้น
นอกจากนี้คอนแทคเลนส์อัจฉริยะนี้ยังทำงานแบบไร้สาย โดยใช้คลื่นวิทยุกับการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าของเทคโนโลยี Nikola Tesla มาทำให้เป็นการทำงานแบบไร้สาย ซึ่งแหล่งพลังงานจะมาจากสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ตที่เชื่อมต่อ ซึ่งจะสามารถทำการซูมและโฟกัสอัตโนมัติได้ด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม คอนแทคเลนส์อัจฉริยะนี้น่าจะยังต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบต่างๆ เพื่อให้มั่นใจและแน่ใจว่าปลอดภัย มีความเหมาะสม และเป็นนวัตกรรมชั้นดีที่พร้อมจะออกสู่ตลาดให้เราได้ใช้มันจริงๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)